มีรายงานล่าสุดที่น่ากังวลสำหรับ Microsoft ครับ เมื่อยอดขายผลิตภัณฑ์ AI ภายในองค์กรไม่เป็นไปตามเป้า เนื่องจากลูกค้าไม่มีความต้องการใช้สินค้า AI ที่ถูกวิจารณ์ว่า “ครึ่งๆ กลางๆ” (Shoddy/Half-baked) ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Google Gemini กำลังเร่งความเร็วแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว
I. วิกฤตสินค้าและเป้าหมายการขาย
- ยอดขายตก: รายงานจาก The Information ระบุว่า Microsoft ต้อง ลดเป้าหมายการขาย สำหรับผลิตภัณฑ์ Azure AI เนื่องจากพนักงานขาย “ประสบปัญหา” ในการทำยอดให้ถึงเป้า เพราะ “ขาดความต้องการ” จากตลาดอย่างสิ้นเชิง (แม้ Microsoft จะปฏิเสธรายงานนี้)
- คุณภาพสินค้า: ผู้ใช้ที่ใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มต่างชี้ตรงกันว่า Google Gemini ฉลาดกว่า ใช้งานง่ายกว่า และใช้งานได้จริงกว่า Copilot บน Microsoft 365 มาก เช่น Gemini สามารถจัดตารางประชุมตามโซนเวลาได้ทันที ขณะที่ Copilot บน Outlook Mobile ยังไม่มีความสามารถพื้นฐานเหล่านี้
- ความเสี่ยงด้านแบรนด์: การที่ Microsoft เร่งรีบปล่อยฟีเจอร์ AI ที่ยังไม่สมบูรณ์ เสี่ยงที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ AI ของบริษัทมีชื่อเสียงด้านคุณภาพต่ำเหมือนกับ “Internet Explorer” ซึ่งเป็นการเอาอนาคตไปเสี่ยงเพื่อความเร็วเท่านั้น
II. จุดอ่อนเชิงกลยุทธ์ที่ Nadella สร้างไว้
- หุ้นส่วนที่เสี่ยง: OpenAI คู่ค้าหลักของ Microsoft กำลังเผชิญสถานการณ์ “โค้ดแดง” (Code Red) และมีหนี้สินจำนวนมาก ซึ่งทำให้การพึ่งพา OpenAI เป็นความเสี่ยงใหญ่
- การพึ่งพาฮาร์ดแวร์: Microsoft พึ่งพาเทคโนโลยี NVIDIA ราคาแพงเกือบทั้งหมด ในขณะที่ Google ลงทุนเพื่อ “เป็นเจ้าของเทคโนโลยี Stack ทั้งหมด” (ตั้งแต่ชิป Tensor ไปจนถึงซอฟต์แวร์) ซึ่งทำให้ Google ได้เปรียบทั้งด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ
- ปัญหาการจัดลำดับความสำคัญ: ผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์ว่า CEO Satya Nadella มีประวัติไล่ตามกระแส (Blockchain, Metaverse) โดยมุ่งเน้นไปที่ “ความพึงพอใจของผู้ถือหุ้นในระยะสั้น” มากกว่าการส่งมอบสินค้าคุณภาพสูงให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ขาดนวัตกรรมที่แท้จริง
III. อนาคตของ Microsoft ในโลก AI
- ความสำเร็จที่มี: Github Copilot ถือเป็นความสำเร็จอย่างชัดเจน และ Microsoft ก็กำลังลงทุนในชิปของตัวเอง (Maia, Cobalt) เพื่อพยายามลดการพึ่งพา NVIDIA และ OpenAI
- ทางเลือกสุดท้าย: หาก Microsoft ไม่สามารถเน้นย้ำเรื่องคุณภาพและดึงดูดลูกค้าได้จริง อนาคตของบริษัทในตลาด AI อาจลงเอยที่การ “เป็นเพียงผู้ขายต่อเทคโนโลยีเซิร์ฟเวอร์ของ NVIDIA” แทนที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมหลักของวงการ ซึ่งถือเป็นมรดกที่ไม่น่าภูมิใจสำหรับบริษัทที่เคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีครับ

